ย้อนกลับไปเมื่อปี 2564 ผู้ใช้ reddit คนหนึ่งได้สร้างปรากฏการณ์สั่นสะเทือนในที่ทำงาน หลังประกาศลาออกแล้วพนักงานอีกกว่า 20 คนลาออกตาม เหตุการณ์ที่เป็นเหมือนรอยรั่วเล็ก ๆ แทบมองไม่เห็นแต่กลับส่งผลให้ทำนบน้ำแตกทลายนี้ มีต้นเหตุที่ไม่น่าเชื่อคือ แมวที่ป่วยหนักตัวหนึ่ง
ผู้ใช้ reddit ดังกล่าวเล่าว่า “หัวหน้าขึ้นเสียงใส่เด็กฝึกงานที่ขอกลับบ้านเร็วและขอลาหยุด เพราะแม่ของเด็กฝึกงานคนนั้นโทรบอกเธอว่าแมวของเธอกำลังจะตาย และให้เธอตามไปหาที่คลินิกสัตวแพทย์” แต่หัวหน้าของเด็กฝึกงานรายนี้กลับบอกว่า “แมวเป็นแค่สัตว์ และพนักงานจะลาหยุดได้ก็ต่อเมื่อเป็นมนุษย์เท่านั้นที่ป่วยหรือกำลังจะตาย”
หลังจากพนักงานคนอื่นๆ ได้ยินเรื่องดังกล่าวจึงประกาศลาออกตามๆ กัน จนกลายเป็น ‘อภิมหาการลาออก’ หรือ The Great Resignation เพื่อประท้วงฝ่ายบริหารที่ไร้ความเห็นอกเห็นใจ และเพื่อแสดงความสนับสนุนต่อเด็กฝึกงานที่กำลังโศกเศร้า
แม้จะฟังดูเป็นเรื่องน้ำผึ้งหยดเดียว แต่นี่ไม่ใช่ดราม่าในที่ทำงานทั่วไป ประเด็นหนึ่งที่ทำให้ชาว reddit ถกเถียงกันดุเดือดคือ การที่ฝ่ายบริหารบอกว่าการสูญเสียคนใกล้ชิดที่เป็นมนุษย์นั้นน่าเศร้าเสียใจกว่าการสูญเสียเพื่อนสี่ขา ซึ่งไม่ว่าเราจะมีความเห็นเรื่องความสำคัญของมนุษย์ vs สัตว์อย่างไร ก็ไม่อาจจะปฏิเสธได้ว่าเหตุการณ์นี้ได้สะท้อนว่า องค์กรมีอำนาจในการกำหนดว่าใครหรือสิ่งใดควรค่ากับการไว้ทุกข์ และสิ่งใดไม่มีค่าพอให้เสียใจ และคนทำงานทุกคนต้องน้อมรับตามข้อกำหนดนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
โชคร้ายที่เหตุการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ครั้งเดียว วัฒนธรรมการทำงานของเราในปัจจุบันมีเกณฑ์กำหนดเหตุผลในการลางานที่จำกัดอย่างมาก โดยเหตุที่ถือกันว่า “เห็นสมควร” ให้ลาต้องเป็นเหตุฉุกเฉินในครอบครัว และถ้าเรามองให้ลึกเข้าไปอีก นิยามคำว่า “ครอบครัว” ในโลกการทำงานจะหมายถึงครอบครัวเดี่ยว หรือหน่วยโครงสร้างสังคมอันประกอบด้วย 1) คู่สมรสต่างเพศ และ 2) บุตร เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์เครือญาติตามความรู้สึกจริงของเรามีนิยามที่กว้างและซับซ้อนเกินกว่าที่คำนิยามหรือการทึกทักเอาสั้น ๆ จะครอบคลุมได้หมด ตัวอย่างเช่น การสำรวจสำมะโนสหรัฐฯ เปิดเผยว่าชาวอเมริกัน80 เปอร์เซ็นต์ไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวเดี่ยวอีกต่อไป ผู้คนใช้ชีวิตอยู่ในโครงสร้างครอบครัวประเภทอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น
- ครอบครัวเลี้ยงเดี่ยว
- ครอบครัวบุญธรรม
- ครอบครัวผสม (ครอบครัวที่ประกอบด้วยผู้ใหญ่ที่มีบุตรติดมาจากความสัมพันธ์ครั้งก่อน)
- ครอบครัวขยาย (ครอบครัวที่ “ขยาย” ใหญ่กว่าสมาชิกครอบครัวเดี่ยว โดยรวมถึงเครือญาติอย่างปู่ย่าตายาย ลุงป้าน้าอา)
ยิ่งไปกว่านั้น ภาพจำความเข้าใจเรื่องครอบครัวในแบบดั้งเดิม มาจากบรรทัดฐานรักต่างเพศ (heteronormative values) ที่วางความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาแบบรักต่างเพศไว้เหนือกว่าความสัมพันธ์แบบอื่นใด ทั้งที่ในความเป็นจริง สัมพันธภาพระหว่างบุคคลที่ไม่ได้เกี่ยวโยงทางสายเลือดนั้นเป็นโครงสายใยสำคัญที่ช่วยสนับสนุนค้ำจุนชีวิตผู้คนนับไม่ถ้วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาว LGBTQ+ ความสัมพันธ์ที่ไม่ขึ้นอยู่กับความเกี่ยวโยงทางชีววิทยาเช่นนี้เรียกกันว่า “ครอบครัวที่เลือกเอง” (chosen family) หรือกลุ่มคนที่รวมตัวกันเพื่อให้ความสนับสนุนและความรักแก่กัน โดยไม่คำนึงถึงความเกี่ยวดองทางสายเลือด เครือข่ายการช่วยเหลือเกื้อกูลที่แตกแขนงออกจากภาพจำครอบครัวแแบบดั้งเดิมนี้ เป็นเสาสนับสนุนหลักของเหล่าคนชายขอบที่ถูกขับไล่กีดกันออกจากสถาบันทางสังคมแบบดั้งเดิม โดยเฉพาะจากครอบครัวทางสายเลือดของตนเอง
จะเห็นได้ว่า ความหมายของครอบครัวนั้นไม่ได้เป็นนิยามตายตัวที่ครอบคลุมหมดทุกสิ่ง หากแต่ขยายแยกออกเป็น ‘เฉด’ หรือ spectrum มากกว่า นั่นหมายความว่าความต้องการและการสนับสนุนของแต่ละคนย่อมแตกต่างกันไป ตัวอย่างเช่น บริษัทส่วนใหญ่มีนโยบายกำหนดให้แม่ที่เพิ่งคลอดสามารถลาหยุดเพื่อเลี้ยงดูลูกได้ แต่ผู้ปกครองที่ไม่ได้เป็นผู้อุ้มครรภ์ ผู้ปกครองคนอื่นในครอบครัวผสม ผู้ปกครองตามกฎหมาย หรือผู้ทำหน้าที่ดูแลเด็กในครอบครัวนอกเหนือจากแบบดั้งเดิม จะไม่ได้รับการสนับสนุนและนโยบายลาหยุดที่เข้ากับสถานการณ์เฉพาะของตน นอกจากนี้ สมาชิกครอบครัวที่ไม่ได้เกี่ยวข้องทางสายเลือดยังไม่สามารถขอลาเพื่อดูแลประคับประคองผู้ป่วยหรือลาหยุดเมื่อสูญเสียคนใกล้ชิด เพราะแทบไม่มีบริษัทใดมีนโยบายลาเช่นนี้ อีกทั้งกฎหมายแรงงานยังไม่ประกันสิทธิ์ดังกล่าวอีกด้วย
ในประเทศไทย ลูกจ้างมีสิทธิ์ตามกฎหมายที่จะลาหยุดโดยได้รับค่าจ้างเพื่อ “เหตุจำเป็น” ได้ไม่เกินสามวัน แม้จะมีกฎหมายรับรองสิทธิ์ แต่คำจำกัดความของ “กิจธุระอันจำเป็น” และจำนวนวันลาที่ลูกจ้าง “ควร” จะได้รับนั้นขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของนายจ้าง เมื่อกฎหมายไม่กำหนดสิทธิ์ในการลาหยุดเมื่อสูญเสียคนใกล้ชิดหรือการลาหยุดสำหรับสมาชิกครอบครัวแบบไม่ดั้งเดิม สิทธิ์ของลูกจ้างเหล่านี้ต่อเหตุสำคัญถึงความเป็นความตายจึงไม่ได้รับการคุ้มครองอย่างครอบคลุมเพียงพอ ไม่ว่าจะเป็นการดูแลผู้ป่วย การหยุดเพื่อจัดการความโศกเศร้า ทั้งหมดนี้ต้องรอให้ถูกอนุมัติว่าคน ๆ หนึ่งจะสามารถไปช่วยประคับประคองความอยู่รอดของสมาชิกครอบครัวหรือทำใจจากการสูญเสียได้นานเพียงใด ยิ่งไปกว่านั้น การลาหยุดทั้งแบบได้และไม่ได้รับค่าจ้างเป็นสิทธิ์ประโยชน์ที่มากับสัญญาจ้างงานเท่านั้น ส่วนลูกจ้างชั่วคราว ลูกจ้างรายวันหรือคนที่ต้องอยู่รอดแบบเดือนชนเดือน ใช้ชีวิตอยู่ในเงื่อนไขที่ทำให้พวกเขาไม่สามารถหยุดงานได้เลย
สิ่งหนึ่งที่เราสามารถเรียนรู้ได้จากกระทู้แมวป่วยคือ ความเศร้าโศกเสียใจไม่สามารถวัดปริมาณได้ ความหมายหรือความสำคัญของแต่ละความสัมพันธ์ ความรู้สึกต่อการสูญเสีย ความผูกพันระหว่างเราต่อคนหรือสิ่งอื่น ๆ เหล่านี้เป็นส่วนประกอบของชีวิตที่แตกต่างกันไปตามแต่ละคน ความซับซ้อนหลากหลายของความสัมพันธ์มนุษย์นั้นเป็นเรื่องจริงไม่ต่างไปจากความจริงที่ว่าเราจำเป็นต้องทำงานเพื่อหาเลี้ยงชีพ นี่คือความเป็นจริงที่นักนโยบายต้องคำนึงถึงในการพัฒนากลไกการคุ้มครองแรงงาน ยังมีอีกหลายสิ่งที่เราต้องทำ เพราะประเด็นเหล่านี้มีอยู่ในสังคมเป็นเวลานานแล้ว แต่เพิ่งจะได้รับความสนใจได้ไม่นาน
นับตั้งแต่เกิดภาวะโรคระบาด วลี “ไม่มีใครอยากทำงาน” ถูกกล่าวซ้ำแพร่กระจายราวกับไวรัส แต่เราไม่ควรมองว่าวลีนี้เป็นมีมที่คนรุ่นใหม่จอมขี้เกียจเพียงแค่บ่นลอย ๆ เท่านั้น นี่เป็นเสียงร้องขอความช่วยเหลือที่พยายามชี้ให้เห็นว่า คนจำนวนมากรู้สึกห่างเหินจากงาน เพราะพวกเขามองไม่เห็นความเป็นไปได้ที่จะแลกแรงงานของตัวเองกับชีวิตแบบนี้อีกต่อไป ถึงเวลาที่เราจะปัดฝุ่นคำจำกัดความทางกฎหมายของคำว่าครอบครัว การลาหยุด และสิทธิ์ลูกจ้าง ถึงเวลาที่เราจะศึกษาวิจัยและหาข้อมูลวิวัฒนาการของครอบครัวในประเทศไทย รวมถึงศึกษาความต้องการของครอบครัวที่ถูกลืม ถึงเวลาที่จะคิดว่า เราจะยังทำงานต่อไปในวัฒนธรรมการทำงานและสภาวะแบบนี้อย่างไร เมื่อคนต้องมาทำงานราวกับว่าไม่มีเรื่องโศกเศร้ามากระทบชีวิต ลูกจ้างต้องจัดการกับอารมณ์ความรู้สึกในเวลาวิกฤต และบริษัทสามารถกำหนดชี้วัดเรื่องความเป็นความตาย ความป่วยไข้ และความผูกพันของคนได้ เพียงเพราะกฎหมายอนุญาตให้ทำได้
เส้นทางสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างนั้นยาวไกล แต่เราสามารถเริ่มต้นได้โดยย้อนกลับสู่จุดเริ่มต้น คือ ปรับพื้นฐานความคิดหรือภาพจำต่อคำว่าครอบครัว ความสัมพันธ์ที่เรามีต่องาน และต่อคนอื่น ๆ เมื่อเรารื้อถอนหลักแนวคิดเรื่องการทำงานแบบเดิมลงเราจะมีพื้นที่ให้สามารถดูแลและสนับสนุนเกื้อกูลกันและกัน เมื่อนั้นเองที่เราทุกคนจะได้ใช้ชีวิตอย่างแท้จริง