“งานดูแลที่ไม่ได้รับค่าจ้าง” (unpaid care work) และ “ภาระทางอารมณ์” (emotional burden) สองสิ่งที่มากับสถานะความเป็นแม่ กลายเป็นความคาดหวังที่ผู้หญิงต้องแบกรับ ในนามของความรักและการเป็นแม่ที่ดี
งานดูแลในครอบครัวครอบคลุมกิจกรรมหลายอย่าง อย่างการเลี้ยงดูเด็ก การดูแลผู้สูงอายุ งานบ้านต่างๆ ซึ่งก็แยกย่อยออกไปอีก ปัญหาคือ สิ่งเหล่านี้ไม่ถูกนับว่าเป็น “งานจริง ๆ” หรืองานที่มีคุณค่า และควรได้ค่าตอบแทน
บรรทัดฐานทางเพศทำให้คนเชื่อว่า ผู้ชายเป็น “หัวหน้าครอบครัว” ส่วนผู้หญิงเป็น “ช้างเท้าหลัง” ที่เกิดมาพร้อมกับสัญชาตญาณในการดูแลคนอื่น งานดูแลคนในบ้านจึงถูกมองว่าเป็นหน้าที่ของผู้หญิง ส่วนงานที่ให้ค่าจ้างเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น แม้ผู้หญิงทั่วทั้งโลกทำงานบ้านและงานดูแลมากกว่าผู้ชายถึงสามเท่า ทว่าแรงงานที่ผู้หญิงอุทิศให้ครอบครัวกลับถูกเมิน ไม่ว่าจะโดยนักเศรษฐศาสตร์ นักนโยบายสาธารณะ หรือบุคคลทั่วๆ ไป
เมื่องานดูแลถูกโยนไปให้ผู้หญิงรับผิดชอบฝ่ายเดียว นั่นแปลว่า ชั่วโมงในการทำงานของผู้หญิงถูกตัดตอนไปด้วย หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องอยู่บ้าน ผู้หญิงมักถูกโน้มน้าวให้ลาออกจากงาน ทำให้ขาดอิสระและความมั่นคงทางการเงินในที่สุด นอกจากนี้เอง การทำงานและดูแลครอบครัวพร้อมๆ กันยังส่งผลต่อสุขภาพจิตของคนเป็นแม่โดยตรง ความรับผิดชอบสองเท่า การไม่ได้หยุดพัก การแบกรับอารมณ์ที่มาจากการดูแลคนในบ้าน–ปัจจัยเหล่านี้ทำให้เกิดความเครียดและเหนื่อยสะสม นำไปสู่โรควิตกกังวลและภาวะซึมเศร้าในที่สุด
หลังจากโรคโควิดแพร่ระบาด ทำให้ความ สมดุลระหว่างงานดูแลและงานที่ให้ค่าตอบแทนยิ่งถดถอย ในประเทศไทย ร้อยละ 26 ของผู้หญิงระบุว่า ภาระในการดูแลผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้น ส่วนร้อยละ 41 มีงานดูแลเด็กในมือมากกว่าเดิม สถานการณ์เช่นนี้ทำให้ผู้หญิงทำงานไม่ราบรื่น เพราะต้องคอยปลีกตัวไปทำงานดูแลและงานบ้าน หากเป็นผู้หญิงที่สถานะทางการเงินมั่นคง ก็มียังหนทางอื่นๆ มาช่วยผ่อนปรนภาระงาน เช่น จ้างคนทำความสะอาดบ้านหรือคนเลี้ยงเด็ก แต่ผู้หญิงที่ทรัพยากรจำกัดต้องทำทุกอย่าง ทั้งหาเลี้ยง ทั้งเลี้ยงดู ไม่เพียงแต่ศักยภาพในการทำงานจะลดลง แต่สุขภาพจิตของผู้หญิงก็ยังถดถอยกว่าเดิมในช่วงโรคระบาด
แม้สถานการณ์ความเหลื่อมล้ำทางเพศจะย่ำแย่ลง แต่ประเทศไทยยังไม่มีนโยบายแบ่งเบางานดูแลที่ไม่ได้รับค่าจ้างอย่างจริงจัง โดยรัฐอาจเริ่มจากมาตรการช่วยเหลือ เช่น…
1.ออกนโยบายที่ล้มล้างค่านิยมและอคติทางเพศ เช่น ส่งเสริมให้ผู้ชายใช้วันลาเลี้ยงดูลูก
2.ส่งเสริมศูนย์เลี้ยงดูแลเด็กเล็กที่มีคุณภาพ
3.กระตุ้นให้มีนโยบายจ่ายค่าจ้างในวันลา กรณีพนักงานหยุดไปดูแลเด็กหรือผู้สูงอายุในครอบครัว
4.ให้เงินอุดหนุนครอบครัว
5.สนับสนุนการทำงานแบบต่างๆ เช่น ทำงานทางไกล มีชั่วโมงการทำงานที่ยืดหยุ่น ให้รูปแบบการทำงานปรับตามสถานการณ์ของผู้ปกครอง
อ้างอิง
Rahmadhani, P., Vaz, F., & Affiat, R. A. (2021). COVID-19 Crisis and women in Asia: Economic impacts and policy responses. Friedrich-Ebert-Stiftung Nepal Office.
Seedat, S., & Rondon, M. (2021). Women’s wellbeing and the burden of unpaid work. bmj, 374.