หลังจากอัตราการเกิดของเด็กไทยลดลงต่อเนื่องมาเป็นทศวรรษ ปีที่แล้วอัตราคนตายก็แซงหน้าอัตราคนเกิดเป็นที่เรียบร้อย ในปี พ.ศ. 2564 มีเด็กไทยเกิดใหม่ประมาณ 5.4 แสนคน แต่คนตายสูงกว่าที่ 5.6 แสนคน
อัตราการเกิดที่น้อยลง บวกกับการที่ประเทศไทยเป็นสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ คือมีสัดส่วนผู้สูงอายุประมาณ 20% ของประชากรทั้งหมด ก็ทำให้อัตราการเกิดที่น้อยลงยิ่งเป็นประเด็นที่น่ากังวล เพราะเราต้องพึ่งพาเด็กที่จะเป็นกำลังแรงงานในอนาคตในการทำงานหาเงิน ผดุงเศรษฐกิจ และสวัสดิการของคนทั้งประเทศ โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ
และประเทศไทยก็เป็นประเทศกำลังพัฒนา ‘ประเทศแรกของโลก’ ที่เป็นสังคมผู้สูงอายุแบบสมบูรณ์
แล้วทำไมอัตราการเกิดในประเทศไทยถึงลดลงขนาดนี้? ปัจจัยทางสังคมและเศรษฐกิจอาจส่งผลอย่างมาก การเลี้ยงลูกหนึ่งคนทำให้พ่อแม่ผู้ปกครองต้องแบกรับภาระทั้งทางการเงินและจิตใจมหาศาล ค่าโรงเรียนที่แพง ค่าครองชีพที่แค่ตัวเองก็อยู่ไม่ได้ รวมถึงภาระหนี้ครัวเรือนสูงก็ส่งผลให้คนไทยตัดสินใจไม่มีลูก จำนวนหนี้สินเฉลี่ยของครัวเรือนในประเทศไทยปี 2564 อยู่ที่ 205,679 บาท เพิ่มขึ้น 25.4% เมื่อเทียบกับหนี้สินเฉลี่ยต่อครัวเรือนในปี 2562 ซึ่งอยู่ที่ 164,005 บาท
เมื่อภาระในชีวิตมากมายขนาดนี้ การตัดสินใจจะมีลูกจึงย่อมเป็นเรื่องยากขึ้นในปัจจุบัน
แต่การเป็นสังคมสูงอายุและอัตราการเกิดที่น้อย ก็ไม่ใช่ปรากฏการณ์ที่มีเพียงในประเทศไทย งานวิจัยเกี่ยวกับอนาคตประชากรโลกจาก The Lancat เข้าไปสำรวจอนาคตประชากรใน 195 ประเทศทั่วโลก พบว่าในปี ค.ศ. 2100 ประชากรใน 23 ประเทศ อาจจะลดลงไปกว่าครึ่งเลยทีเดียว ประเทศญี่ปุ่นจากที่มีประชากร 128 ล้านคนในปี ค.ศ. 2017 ก็อาจลดลงเหลือ 53 ล้านคนประเทศอื่นๆ ที่ประชากรอาจลดลงกว่าครึ่งก็เช่น สเปน โปรตุเกส เกาลีใต้ รวมถึงประเทศไทย
เมื่อลองมาดูที่อัตราการเกิดของโลก ในปี ค.ศ. 1950 ผู้หญิงหนึ่งคนมีลูกเฉลี่ย 4.7 คน แต่ในปี ค.ศ. 2017 ลดลงเหลือ 2.4 คน และในปี ค.ศ. 2100 อาจลดลงเหลือ 1.7 คนเท่านั้น
หลายประเทศพยายามกระตุ้นอัตราการเกิด แต่ส่วนมากมักทำไม่สำเร็จ โครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนแปลงไป สังคมผู้สูงอายุที่เด็กเกิดน้อย และคนไม่อยากมีลูก สิ่งนี้เป็นโจทย์ที่นักนโยบายและสังคมต้องเรียนรู้และช่วยกันหาคำตอบต่อไป
อ้างอิง
https://www.thelancet.com/journals/lancet/article/PIIS0140-6736(20)30677-2/fulltext