ในงาน Policy Innovation Exchange เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายนที่ผ่านมา Joshua Polchar นักสังเกตการณ์จาก Observatory of Public Sector Innovation (OPSI), OECD ได้พูดถึงความสำคัญในการใช้การมองการณ์ไกลเชิงกลยุทธ์ (Foresight) กับการออกแบบนโยบาย เพื่อเตรียมพร้อมกับโลกอนาคต
Joshua ในฐานะนักสังเกตการณ์พูดถึงองค์ประกอบ 4 ประการในการออกแบบนโยบายโดยการใช้การมองการณ์ไกล (Foresight)
- การทดสอบนโยบายในสถานการณ์ต่างๆ
- การพัฒนาระบบเตือนภัยล่วงหน้า ที่ช่วยเตือนผู้กำหนดนโยบายเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงต่างๆ
- การสำรวจแนวทางการแก้ไขใหม่ๆ
- การสร้างเป้าหมายร่วมกัน
การมองการณ์ไกล (Foresight) เป็นสิ่งสำคัญ แต่จะนำมาใช้กับการออกแบบนโยบายอย่างไร?
ความท้าทายของการใช้กลยุทธ์การมองการณ์ไกลคือ การนำความรู้ที่มีไปก่อให้เกิฃฃดการเปลี่ยนแปลงระดับนโยบายได้จริง ให้กลายเป็นนโยบาย ข้อบังคับ หรือกฎหมาย ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้อาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย ดังนั้นการสร้างเป้าหมายร่วมกันระหว่างผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจึงสำคัญ
OPSI ตระหนักถึงความท้าทายนี้ จึงได้พยายามให้การมองการณ์ไกลเป็นสิ่งที่จับต้องได้ง่ายมากขึ้น โดยแบ่งออกเป็นหลักเกณฑ์ 3 ประการ
- การคาดหมาย
การสร้างความรู้เกี่ยวกับอนาคต โดยประเมินจากปัจจัยต่างๆ เช่น ค่านิยม โลกทัศน์ สมมติฐาน และพัฒนาการต่าง ๆ
- นวัตกรรมที่คาดการณ์ล่วงหน้า
การสร้างนวัตกรรมที่ช่วยในการคาดการณ์อนาคต ที่สร้างแรงกระเพื่อมกับสาธารณะ
- ระบบการจัดการที่เอื้อต่อนวัตกรรม
การวางระบบการจัดการและกลไกที่ส่งเสริมนวัตกรรมที่ช่วยในการคาดการณ์อนาคต ควบคู่ไปกับนวัตกรรมประเภทอื่นๆ
หลายครั้งที่การใช้กลยุทธ์การมองการณ์ไกลทำให้เกิดคำถามว่า แนวทางแบบนี้จะเอื้อต่ออนาคต มากกว่าที่จะแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าหรือไม่ ซึ่ง Joshua ได้ระบุว่า อนาคตของมนุษยชาตินั้นเป็นส่วนหนึ่งของปัจจุบันอยู่แล้ว
การคาดหมายอนาคตเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
กิจกรรมของมนุษย์ส่งผลต่ออนาคต ซึ่งหมายความว่าการกระทำให้วันนี้สามารถป้องกันความเสียหายในอนาคตได้ เช่น การฉีดวัคซีน ที่ช่วยเพิ่มภูมิต้านทาน และลดความรุนแรงของโรค ดังนั้น OPSI จึงได้ยึดเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนเป็นหลักในการกระตุ้นให้เกิดกิจกรรมต่างๆ ที่นำไปสู่การบรรลุเป้าหมายได้จริง โดย Joshua ยังบอกอีกว่าอนาคตที่แท้จริงเพียงอย่างเดียวคือปัจจุบัน
โดยเครื่องมือที่สามารถใช้คาดการณ์อนาคตมีหลากหลายรูปแบบ ทั้งการคาดการณ์ การคาดหวัง การสแกน การสร้างแบบจำลอง จนถึงการวางแผน ซึ่งเครื่องมือเหล่านี้เป็นสิ่งที่นักวางแผนนโยบายใช้อยู่แล้ว ดังนั้นต้องดำเนินการทันทีเพื่อไม่ให้สายเกินไป
อย่ากลัวความผันผวนและความแปลกใหม่ในอนาคต
อนาคตเป็นสิ่งที่มาพร้อมกับความผันผวน ความไม่แน่นอน ความซับซ้อน และความแปลกใหม่ ดังนั้นจึงเป็นความท้าทายที่เราจะพัฒนาสิ่งต่างๆ ให้รวดเร็วกว่าอนาคต เพราะเป็นสิ่งที่เราประมาณการณ์กันยาก เช่น เทคโนโลยี AI จะเข้ามาแทนที่งานของมนุษย์ทุกคนภายในอีกกี่ปีข้างหน้า หรือการคาดการณ์แฟชั่นของผู้บริโภคอย่างแม่นยำ ดังนั้นสำหรับ OPSI แล้ว การมองการณ์ไกลเชิงกลยุทธ์ (Strategic Foresight) จึงคือวิสัยทัศน์และความสามารถในการรับรู้ ทำความเข้าใจ และดำเนินการกับอนาคตอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดแรงกระเพื่อมกับสาธารณะ
คาดการณ์และลงมือทำจากการ “ไม่รู้”
OPSI พยายามส่งเสริมทัศนคติและความเข้าใจเกี่ยวกับอนาคตศึกษา ด้วยการค้นหาโอกาส ความรู้ และข้อมูลอย่างต่อเนื่อง เพื่อทำให้องค์กรสามารถใช้กลยุทธ์การคาดการณ์เชิงอนาคตได้ดียิ่งขึ้น โดยเริ่มจากความไม่รู้จนกระทั่งทำให้บุคคลในองค์กรเข้าใจวิธีการทำงานได้อย่างแตกฉาน หลังจากได้ลงมือทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า
Joshua ทิ้งท้ายว่า การมีส่วนร่วมกับผู้คนถือว่าเป็นส่วนสำคัญที่สุดของกระบวนการ เนื่องจากหลายครั้งความเชี่ยวชาญอาจมาจากแหล่งความรู้ที่เราไม่คาดคิด ดังนั้นต้องให้ความสำคัญกับความแตกต่างของสิ่งรอบตัว