บทความ / เยาวชน
Written By
Published: 04.07.2022

Key Insights

  • สุขภาพจิตไม่ควรเป็นวาระของโรงเรียนเท่านั้น การส่งเสริมในระดับท้องถิ่นและประเทศเป็นเรื่องสำคัญ โดยนักนโยบายสามารถช่วยเตรียมความพร้อมให้กับโรงเรียนได้ด้วยการสนับสนุนงบประมาณสำหรับการดูแล-ประเมินสุขภาพจิตนักเรียน
  • รัฐบาลสิงคโปร์ได้ประกาศให้หน่วยบริการทางสังคม 4 ประเภทรับหน้าที่ดูแลสุขภาพจิตของเยาวชน รัฐบาลสิงคโปร์ระบุว่า นโยบายนี้จะช่วยให้เยาวชนเข้าถึงการสนับสนุนด้านจิตสังคม (psycho-social support) หรือการแทรกแซงทางการแพทย์ โดยไม่ต้องเดินทางไปไหนไกล
  • การกระจายงบประมาณการศึกษาให้เท่าเทียมและทั่วถึงจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำ อันเป็นหนึ่งต้นตอของความเจ็บป่วยในใจได้

 

Thailand Policy Lab ออกแบบนโยบายสุขภาพจิตเยาวชน โดยให้เยาวชนเข้ามาเป็นนักออกแบบนโยบายในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตัวเอง เราออกแบบนโยบายสุขภาพจิตกันใน 4 มิติ คือ การรักษาสุขภาพจิตนักเรียน (Protection) การดูแลสุขภาพจิตนักเรียน (Prevention) การเปลี่ยนทัศนคติเกี่ยวกับสุขภาพจิต (Promotion) และอนาคตของการศึกษาที่ใส่ใจสุขภาพจิตผู้เรียน (Future of Learning)

ในการออกนโยบายด้านสุขภาพจิตเยาวชน โรงเรียนคือหนึ่งในสถาบันที่ใกล้ชิดนักเรียนมากที่สุด ด้วยเหตุนี้ โรงเรียนจึงเป็นด่านหน้าในการดูแลสุขภาพจิตและส่งต่อนักเรียนไปยังหน่วยบริการทางการแพทย์

ที่สหรัฐอเมริกา Family Run Executive Director Leadership Association (FREDLA) ได้สนับสนุนให้โรงเรียนทำงานใกล้ชิดกับนักเรียน ผู้ปกครอง หน่วยบริการทางการแพทย์ในท้องที่หรือชุมชน เพื่อให้เกิดระบบดูแล-ช่วยเหลือ-ส่งต่อที่ไหลลื่น โดยโรงเรียนสามารถเข้ามาดูแลกรณีที่นักเรียนแสดงความเครียดชัดเจน หรือแทรกแซงกรณีที่ผู้เรียนตกอยู่ในวิกฤติครอบครัวหรือเผชิญปัญหาร้ายแรง เช่น ส่งต่อนักเรียนไปยังหน่วยบริการทางการแพทย์ โดยโรงเรียงอาจจ้างบุคลาการด้านสุขภาพจิตพร้อมกับให้ครูช่วยประเมินความเป็นอยู่ของนักเรียน พร้อมกับให้คำปรึกษาในเบื้องต้น ขณะที่ในระดับองค์กร การสร้างความตระหนักรู้ในเรื่องสุขภาพจิตที่ดีเป็นเรื่องจำเป็น โรงเรียนจึงอาจกำหนดให้ความรู้ความเข้าใจเรื่องสุขภาพจิตเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตร หรือส่งเสริมให้ผู้สอนเข้าใจในด้านนี้

ปัจจุบันประเทศไทยมีการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับความเป็นอยู่ของนักเรียน เช่น สถิตินักเรียนยากจน หากเราเพิ่มการเก็บข้อมูลด้านสุขภาพจิตของนักเรียนได้ จะช่วยทำให้การดูแลนักเรียนสมบูรณ์ยิ่งขึ้น โรงเรียนสามารถมีบทบาทในการประเมินความต้องการทางอารมณ์ พร้อมกับวางแผนการใช้ทรัพยากรดูแลสุขภาพจิตของนักเรียน

ในขณะเดียวกัน สุขภาพจิตไม่ควรเป็นวาระของโรงเรียนเท่านั้น การส่งเสริมในระดับท้องถิ่นและประเทศเป็นเรื่องสำคัญ โดยนักนโยบายสามารถช่วยเตรียมความพร้อมให้กับโรงเรียนได้ด้วยการสนับสนุนงบประมาณสำหรับการดูแล-ประเมินสุขภาพจิตนักเรียน พร้อมกับงบประมาณสำหรับอบรมเจ้าหน้าที่โรงเรียนเกี่ยวกับสุขภาพจิต นอกจากนี้แล้ว การออกกฎให้ความรู้ความเข้าใจด้านสุขภาพจิตกลายเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรจะช่วยวางอิฐก้อนแรกที่นำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงด้วยเช่นกัน

สำหรับผู้สอนแล้ว การช่วยให้นักเรียนเข้าใจตัวเองนอกเหนือไปจากบทเรียนก็เป็นสิ่งสำคัญ ครูผู้สอนอาจพูดคุยเป็นการส่วนตัว หรือให้การบ้านกับนักเรียนเป็นการเขียนทบทวนความรู้สึกตนเอง เช่น

เช่น ตารางชีวิตเราตอนนี้มีหน้าตาแบบใด? ที่ผ่านมาสถานการณ์สังคมทำให้เรารู้สึกอย่างไร? ใครคือพื้นที่ปลอดภัยของเรา? ความรู้สึกไม่แน่นอน ควบคุมชีวิตไม่ได้มาจากไหน? เราต้องการอะไร และความช่วยเหลือแบบใดจะทำให้เราได้สิ่งที่ต้องการมา? หรือ เราจะผ่อนคลายตัวเองอย่างไร?

แน่นอนว่าการช่วยนำทางให้นักเรียนไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากต้องอาศัยทักษะทางจิตวิทยาที่ต้องฝึกฝนกันมานาน เช่น การรับฟังอย่างลึกซึ้ง ไม่ตัดสิน (deep listening) หรือการเข้าหาเด็กเล็กกับเด็กวัยรุ่นก็อาศัยวิธีที่แตกต่างกัน อีกทั้งตัวครูผู้สอนเองก็อยู่ในห้วงวิกฤติที่บั่นทอนกำลังกายและใจเช่นเดียวกัน การสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือครูจึงเป็นเรื่องสำคัญ เช่น การจัดอบรมให้ความรู้ด้านสุขภาพจิตเพื่อเตรียมความพร้อมของครู หรือการลดภาระงานของผู้สอนตามที่ครูเสนอ

นโยบายพื้นที่ปลอดภัยในการดูแลจิตใจเยาวชน

โรงเรียนไม่ใช่สถานที่หนึ่งเดียวสำหรับเยาวชน และไม่ใช่เยาวชนทุกคนจะเข้าถึงโรงเรียนได้ การมีหน่วยบริการดูแลสุขภาพจิตสำหรับเยาวชนโดยเฉพาะจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ

เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา รัฐบาลสิงคโปร์ได้ประกาศให้หน่วยบริการทางสังคม 4 ประเภทรับหน้าที่ดูแลสุขภาพจิตของเยาวชนที่ไม่สามารถรักษาในโรงพยาบาล หรือเพิ่งออกมาจากโรงพยาบาล และยังจำเป็นต้องมีคนติดตามดูแล โดยหน่วยงานดังกล่าวได้แก่  Club HEAL, Singapore Association for Mental Health, Singapore Children’s Society และ TOUCH Community Services

รัฐบาลสิงคโปร์ระบุว่า นโยบายนี้จะช่วยให้เยาวชนเข้าถึงการสนับสนุนด้านจิตสังคม (psycho-social support) หรือการแทรกแซงทางการแพทย์ โดยไม่ต้องเดินทางไปไหนไกล เนื่องจากหน่วยบริการเหล่านี้ตั้งอยู่ในชุมชนต่างๆ และทำงานใกล้ชิดกับเยาวชนอยู่แล้ว นโยบายนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการภายใต้สถาบันสุขภาพจิต (Institute of Mental Health) เจ้าหน้าที่จากสถาบันดังกล่าวจึงทำหน้าที่เป็นผู้อบรมหน่วยบริการสังคม และจัดประชุมเพื่อสอบถามความคืบหน้าในการดูแลผู้ใช้บริการอยู่เป็นประจำ

ดูแลแค่สุขภาพจิตไม่ได้ทำให้จิตใจแข็งแรงตลอดไป ถ้าต้นตอของปัญหายังไม่ถูกแตะ

สุขภาพจิตไม่ใช่แค่เรื่องของความรู้สึกส่วนบุคคล มันคือกระจกสะท้อนสภาพแวดล้อมของเจ้าของจิตใจด้วย การพุ่งตรงไปที่สุขภาพจิตโดยละเลยมิติอื่นๆ เช่น ความเหลื่อมล้ำทางสังคม-เศรษฐกิจ จึงเป็นเหมือนการกินยาแก้ปวดประคองอาการ แต่ไม่ใช่การผ่าตัดรักษาที่ตรงจุดเลย

ที่ประเทศออสเตรเลีย รัฐบาลได้ประกาศใช้แผนส่งเสริมสุขภาพจิตที่ชื่อว่า “Better Access” ตั้งแต่ 16 ปีที่แล้ว ซึ่งทำให้จำนวนหน่วยงานที่ให้บริการสุขภาพจิตเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทว่างานวิจัยในปี 2018 พบว่า อาการป่วยไข้ทางใจหรืออัตราการฆ่าตัวตายของผู้คนไม่ได้ลดลงเลย เนื่องจากคุณภาพและความถี่ของการบริการไม่เพียงพอจนตอบสนองผู้ป่วยได้ โดยเฉพาะผู้มีอาการรุนแรง และแผนดังกล่าวไม่ได้พิจารณาถึงปัจจัยที่ทำให้คนมีสุขภาพจิตย่ำแย่ เช่น ภาวะเศรษฐกิจถดถอย และภาระการดูแลครอบครัวไปพร้อมๆ กับการทำงาน

สำหรับประเทศไทย แม้ว่างบประมาณการศึกษาจะเพิ่มขึ้นเกือบร้อยละ 50 ในรอบ 10 ปี (816,267 ล้านบาท ในปี 2018) และเราจะมีโครงการเรียนฟรี 15 ปี ทว่างบประมาณสนับสนุนกลับไปถึงแต่ละพื้นที่ไม่เท่ากันโดยบางโรงเรียนขนาดเล็กในพื้นที่ห่างไกลได้รับเงินสนับสนุนเฉลี่ยต่อหัวน้อยกว่าโรงเรียนขนาดใหญ่กว่า และบางจังหวัดได้รับงบประมาณสนับสนุนมากกว่าที่อื่นถึง 2 เท่า การกระจายงบประมาณการศึกษาให้เท่าเทียมและทั่วถึงจึงจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำ อันเป็นหนึ่งต้นตอของความเจ็บป่วยในใจได้

นอกจากนี้เอง การเรียนออนไลน์ยังเป็นหนึ่งในภาระที่สร้างความเครียดให้กับผู้เรียนอย่างมาก  ณ ปัจจุบัน ทั่วทั้งโลกได้ให้ความช่วยเหลือนักเรียนในด้านการเรียนออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นการจัดสรรคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตให้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย การไม่เก็บค่าบริการอินเทอร์เน็ตในกรณีที่ใช้เข้าเว็บการศึกษา บริการอินเทอร์เน็ตชุมชนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย การขยายสัญญาณและความเร็วอินเทอร์เน็ตให้กับชุมชนที่ขาดแคลน หรือการให้ส่วนลดค่าใช้จ่ายด้านอินเทอร์เน็ต หากความช่วยเหลือในลักษณะนี้ลงไปในทุกชุมชนได้ จะช่วยให้ผู้เรียนเข้าถึงการศึกษาและคลายความกังวลด้านค่าใช้จ่ายลงไปด้วย

สุดท้ายแล้วการจะให้โรงเรียนเป็นมากกว่าโรงเรียน แต่ให้โรงเรียนได้เยียวยาจิตใจของนักเรียน นโยบายการศึกษาตั้งแต่ระดับชาติไปจนถึงระดับท้องถิ่นต้องยืดหยุ่นมากพอ และมองนักเรียนเป็นหัวใจของการศึกษาจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นการกระจายงบการศึกษาอย่างเท่าเทียม หรือการขยายมิติของการศึกษาให้ครอบคลุมมากกว่าแค่การเรียนในห้องเรียน

งานของเรา
สำรวจการนำนวัตกรรมมาออกแบบนโยบาย
คลังความรู้
เรียนรู้ด้านนโยบายสาธารณะ
ร่วมกับเรา
ออกแบบนโยบายกับเรา
Back to Top