รู้ไหมว่า 75% ของคนที่นั่งรถเมล์ในไทยเป็นผู้หญิง?
จากการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างเพศและการใช้ระบบขนส่งมวลชน พบว่าในแทบทุกประเทศทั่วโลก ผู้หญิงโดยสารขนส่งสาธารณะมากกว่าผู้ชาย
ในงานศึกษาชิ้นหนึ่งที่เข้าไปสำรวจรายละเอียดการเดินทาง พบว่าผู้หญิงชาวอเมริกันใช้ขนส่งสาธารณะมากกว่าผู้ชาย โดยผู้หญิงกว่าร้อยละ 90 ใช้รถโดยสารสาธารณะอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน ผู้หญิงมัก ‘trip chain’ หรือ แวะหลายสถานที่ระหว่างเดินทางเพื่อทำธุระให้ครอบครัว เช่น ซื้ออาหารเข้าบ้าน และผู้หญิงกว่าร้อยละ 57 ก็พาลูกเดินทางไปกับตนด้วย แต่ขนส่งสาธารณะอาจไม่ได้คำนึงถึงมิตินี้
ทำไมน่ะเหรอ
เราให้คุณค่าช่วงเข้างานกับช่วงเวลาเลิกงานว่าเป็น ‘ชั่วโมงเร่งด่วน’ ที่ต้องเพิ่มรอบรถโดยสารและจัดการจราจรให้มีประสิทธิภาพ ขณะที่ผู้หญิงจำนวนไม่น้อยที่เป็นแม่บ้านให้กับครอบครัวตัวเองต้องเดินทางนอกเวลาดังกล่าว ผู้หญิงต้องออกไปซื้อกับข้าวตั้งแต่เช้าตรู่ ไปดูแลพ่อกับแม่ที่เป็นผู้สูงอายุในช่วงสาย เดินทางไปรับลูกที่โรงเรียนในตอนบ่าย และมีผู้หญิงอีกหลายคนที่ทำอาชีพแม่บ้านตามห้างสรรพสินค้าซึ่งต้องกลับบ้านในเวลาดึกดื่น และต้องนั่งรอรถเมล์เป็นเวลานาน ยังไม่รวมว่าเธอต้องแวะที่ไหนสักแห่งเพื่อซื้อกับข้าวมื้อดึก แล้วค่อยเดินทางอีกครั้งเพื่อไปที่พัก
การปรับปรุงระบบขนส่งสาธารณะจึงควรมีมิติเรื่องเพศเป็นองค์ประกอบ เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับพลเมือง
และไม่ใช่แค่ผู้หญิงเท่านั้น เด็กและคนชราก็มีแนวโน้มใช้บริการรถสาธารณะมากเช่นกัน เพราะมีค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่าการนั่งแท็กซี่หรือมีรถยนต์ส่วนตัว เวียนนาเป็นเมืองตัวอย่างที่ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานโดยให้ความสำคัญกับคนทุกเพศทุกวัย ในปี ค.ศ. 1999 มีการสำรวจการเดินทางของคนในเมือง การเดินทางของผู้หญิงซับซ้อนกว่ามาก หมายถึง พวกเธอต้องนั่งไฟใต้ดิน แล้วเปลี่ยนเป็นรถบัส จากนั้นต้องเดินเพื่อไปถึงที่หมายบางแห่ง บางครั้งพวกเธอต้องพาลูกน้อยไปด้วย และบ่อยครั้งที่ต้องกลับบ้านพร้อมถุงจำนวนมากที่เต็มไปด้วยของกินของใช้ในบ้าน จากการทบทวนถึงบทบาทที่แตกต่างกัน และความปลอดภัยในการใช้ระบบขนส่งมวลชน นายกเทศมนตรีเวียนนาตัดสินใจขยายทางเท้าให้ใหญ่ขึ้น เพิ่มทางลาดขึ้นและลงสำหรับรถเข็นเด็ก และเพิ่มแสงสว่างทั่วเมืองเพื่อความปลอดภัย
บางคนอาจคิดว่าการเดินทางนอกชั่วโมงเร่งด่วนเป็นเรื่องสบายเพราะไม่ต้องเบียดเสียดกับมนุษย์เงินเดือนที่ต้องรีบไปตอกบัตรเข้างานให้ตรงเวลา แต่สถิติจาก Transport Gender Lab ไม่ได้ระบุไว้อย่างนั้น การที่ผู้หญิงต้องใช้ขนส่งสาธาณะหลายต่อและหลายรูปแบบในช่วงเวลาที่มีผู้โดยสารน้อย เพิ่มโอกาสให้พวกเธอตกเป็นเหยื่อได้ง่ายขึ้น ทั้งจากการคุกคามทางเพศและการโจรกรรม ซึ่งตรงกับการสำรวจของ New York Times ในปี ค.ศ. 2015 ที่พบว่าผู้หญิงเป็นเหยื่อของอาชญากรรมในรถไฟใต้ดินนิวยอร์กมากถึง 340 คดี ความรู้สึกไม่ปลอดภัยจากการเดินทางทำให้บางครั้งผู้หญิงตัดสินใจเรียกใช้บริการรถแท็กซี่เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากระบบขนส่งมวลชน ซึ่งกลายเป็นการเพิ่มภาระทางเศรษฐกิจให้กับตัวเองเพื่อแลกมากับความปลอดภัย จากการศึกษาชุดเดียวกันของ Transport Gender Lab ยังพบอีกว่า ผู้หญิง 31% ตัดสินใจเปลี่ยนเวลาการเดินทาง หรือเปลี่ยนรูปแบบการจัดการธุระของตัวเองเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากระบบขนส่งมวลชน
ปัจจุบันเมืองใหญ่หลายแห่งเริ่มตระหนักถึงประเด็นเรื่องเพศกับระบบขนส่งสาธารณะ ลอนดอนเป็นอีกเมืองหนึ่งที่เก็บข้อมูลในมิตินี้อย่างจริงจัง หน่วยงานที่ดูแลเรื่องการขนส่งในลอนดอนจะเปิดเผยข้อมูลต่างๆ เป็นประจำทุกปีเพื่อปรับปรุงบริการของตัวเองให้ดียิ่งขึ้น เช่นเดียวกับมหานครนิวยอร์กที่ลงทุนมากกว่า 5.2 พันล้านดอลลาร์เพื่อสร้างขนส่งสาธารณะที่ทุกคนเข้าถึง และพูดถึงประเด็นผู้หญิงกับการเดินทางอย่างจริงจัง พวกเขากำลังปรับปรุงรถโดยสารหลายระบบและติดตั้งกล้องวงจรปิดเพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้มากขึ้น
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะชักชวนให้คนทั้งสังคมหันมาให้ความสำคัญในประเด็นนี้ แต่ถ้านักนโยบายสามารถเชื่อมโยงผลกระทบต่างๆ เข้าด้วยกันและนำเสนอให้กับผู้มีอำนาจในการตัดสินใจ ก็อาจจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เร็วขึ้นและยั่งยืน สิ่งที่ทำได้ง่ายที่สุดเพื่อให้เห็นสถานการณ์ที่เป็นจริงในตอนนี้ คือลองเดินทางด้วยรถเมล์เท่านั้นสัก 1 เดือน การวิ่งตามประตูรถ ใช้กำลังยื้อแย่งเพื่อเดินขึ้น หรือเอื้อมจนสุดมือเพื่อจับห่วงระหว่างการเดินทาง อาจทำให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในสังคมเข้าใจประชาชนมากยิ่งขึ้นก็ได้