Key Insights
- นโยบายสาธารณะบางอย่างอาจไม่ได้ซับซ้อนมากในเชิงเนื้อหา แต่กลับซับซ้อน วุ่นวาย ชวนปวดหัว เพราะผู้คนหลากหลายกลุ่มมีจุดยืนต่างกัน มีความเชื่อต่างกัน และแบ่งผลประโยชน์กันไม่ลงตัว
- ความซับซ้อนในกระบวนการนโยบายเช่นนี้ต้องการการสื่อสารและรับฟัง มากกว่าเพียงความเชี่ยวชาญเชิงเทคนิค “การสื่อสาร” จึงเป็นหัวใจหลักอย่างหนึ่งของนโยบายสาธารณะ
- ในสถานการณ์เช่นนี้เองที่ “deliberative process” มีความหมายอย่างมาก คำว่า deliberate ในภาษาอังกฤษมีความหมายว่า พินิจพิจารณาอย่างตั้งใจ deliberative process หรือ กระบวนการปรึกษาหารือสาธารณะ จึงหมายถึงกระบวนแลกเปลี่ยนอย่างตั้งใจ
- แต่ deliberative process ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้สำเร็จได้โดยง่าย Sam Kaner และทีมจึงเสนอหลักการ “เพชรน้ำงามของการตัดสินใจอย่างมีส่วนร่วม“ (diamond of participatory decision-making) โดยในคู่มือการตัดสินใจอย่างมีส่วนร่วมสำหรับกระบวนกร ได้แบ่งกระบวนการตัดสินใจอย่างมีส่วนร่วมออกเป็น 3 ขั้นตอน
นโยบายสาธารณะบางอย่างอาจไม่ได้ซับซ้อนมากในเชิงเนื้อหา แต่กลับซับซ้อน วุ่นวาย ชวนปวดหัว เพราะผู้คนหลากหลายกลุ่มมีจุดยืนต่างกัน มีความเชื่อต่างกัน และแบ่งผลประโยชน์กันไม่ลงตัว ปัญหาเชิงนโยบายเช่นนี้ ไม่ใช่ปัญหาที่เกิดขึ้นเพราะขาดความเชี่ยวชาญ กลับกัน การพึ่งพาแต่ผู้เชี่ยวชาญหรือนักนโยบายในการแก้ปัญหาที่ผู้คนมีความบาดหมางและมองอีกฝ่ายเป็นขั้วตรงข้าม มักได้ผลลัพธ์ที่เกิดการต่อต้านมากกว่าเดิม เพราะกระบวนการเช่นนี้ต้องการการสื่อสารและรับฟัง มากกว่าเพียงความเชี่ยวชาญเชิงเทคนิค
“การสื่อสาร” คือหัวใจหลักอย่างหนึ่งของนโยบายสาธารณะ บ่อยครั้ง นโยบายที่มีลักษณะซับซ้อนดังที่กล่าวมาข้างต้นมักซับซ้อนขึ้นไปอีกเพราะ “การสื่อสาร” ที่แฝงไปด้วยน้ำเสียงของความบาดหมาง การแบ่งแย่งดี-ชั่ว เขา-เรา ส่งผลให้ผู้คนมองไม่เห็นจุดร่วม ไม่คิดว่าสามารถเจรจาแลกเปลี่ยนความคิดกับ “ฝั่งตรงข้าม” ได้ และทำให้ผู้คนคิดไปว่า ยาวิเศษในการแก้ปัญหาคือการกำจัดฝั่งตรงข้าม ทั้งที่ยาวิเศษเช่นนั้นไม่มีอยู่จริง และปัญหาที่ซับซ้อนต้องผ่านการรับฟังและประนีประนอมของทุกฝ่าย
ในสถานการณ์เช่นนี้เองที่ “deliberative process” มีความหมายอย่างมาก คำว่า deliberate ในภาษาอังกฤษมีความหมายว่า พินิจพิจารณาอย่างตั้งใจ deliberative process หรือ กระบวนการปรึกษาหารือสาธารณะ จึงหมายถึงกระบวนแลกเปลี่ยนอย่างตั้งใจ นั่นหมายความว่าเราไม่ได้แค่เข้าไปมีส่วนร่วมเพื่อแสดงออกถึงความต้องการของเรา แต่เราเข้าไปมีส่วนร่วมด้วยหัวใจที่เปิดกว้างต่อข้อเท็จจริง ความเห็น ข้อถกเถียงต่างๆ และพร้อมเรียนรู้จากผู้อื่น กระบวนการเช่นนี้เองจะช่วยให้ผู้ที่คิดว่าตนเป็น “ฝั่งตรงข้าม” ของกันและกันได้มองเห็นความเป็นมนุษย์ของอีกฝ่าย และมองเห็นจุดร่วมที่จะเดินไปข้างหน้าด้วยกันได้ แทนที่จะประหัตประหารซึ่งกันและกันจนไม่มีการรับฟังฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด
แต่ deliberative process ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้สำเร็จได้โดยง่าย กระบวนการเช่นนี้อาศัยทั้งความละเอียดลออที่จะรับฟังและตัดสินใจร่วมกัน เพราะผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอาจมองประเด็นเดียวกันในลักษณะที่ตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง
เมื่อมีข้อท้าทายเช่นนี้ Sam Kaner และทีมจึงเสนอหลักการ “เพชรน้ำงามของการตัดสินใจอย่างมีส่วนร่วม“ (diamond of participatory decision-making) ในคู่มือการตัดสินใจอย่างมีส่วนร่วมสำหรับกระบวนกร โดยแบ่งกระบวนการตัดสินใจอย่างมีส่วนร่วมออกเป็น 3 ขั้นตอนดังต่อไปนี้
1. ความคิดที่แตกต่าง (divergent thinking)
ขั้นตอนแรกนี้เน้นย้ำความสำคัญของการเปิดพื้นที่ให้ความคิดที่แตกต่างหลากหลาย เพราะความคิดที่แตกต่างโดยเฉพาะความคิดที่ไม่ตรงกับแนวคิดกระแสหลักหรือผู้มีอำนาจตัดสินใจ มักถูกกดเอาไว้ในกระบวนการออกแบบนโยบาย จนฉันทามติที่อ้างกันว่าเป็นฉันทามตินั้นเป็น ‘false consensus’ หรือมายาคติว่าทุกคนเห็นพ้องต้องกัน ทั้งที่จริงๆแล้วไม่ใช่แบบนั้นเพราะความคิดเห็นมากมายถูกกดทับเอาไว้
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดมายาคติว่าทุกคนเห็นพ้องต้องกัน นักนโยบายในยุคปัจจุบันมีพื้นที่และเครื่องมือมากมายในการเปิดพื้นที่ให้ความเห็นที่แตกต่างหลากหลาย พื้นที่เหล่านั้นเป็นพื้นที่ที่อยู่รอบตัวเรา อยู่ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการประชุมประจำเดือนของหมู่บ้าน การประชุมรับฟังความเห็นสาธารณะ อีเมลที่ประชาชนส่งให้องค์กรข้าราชการ ความคิดเห็นในหนังสือพิมพ์ บทความออนไลน์ หรือแม้แต่การใช้เครื่องมือ social listening tool สืบเสาะความคิดเห็นของประชาชนตามแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ
ถึงอย่างนั้นก็ดี เมื่อนักนโยบายพยายามรับฟังความคิดเห็นเหล่านี้แล้ว ปัญหาที่ตามมาก็คือว่า ความคิดเห็นเหล่านั้นมีมากมายเหลือคณานับจนยากจะรับมือ ตรงนี้แหละที่ขั้นตอนที่สองจะเข้ามาช่วย
2. เขตสุ้มเสียงครวญคราง (Groan Zone)
เขตสุ้มเสียงครวญครางเป็นคำที่ Sam Kaner คิดขึ้น โดยหมายถึงขั้นตอนการจัดการกับปัญหาที่ยุ่งยากซับซ้อน เป็นขั้นตอนที่เรารู้สึกไม่สบายอกสบายใจ กระอักกระอ่วน และสิ้นหวัง เราจึงมักพยายามผ่านขั้นตอนนี้ไปไวๆ และทำทุกอย่างให้มันจบสิ้นลงเสียที “การฟังอย่างตั้งใจ” จึงเป็นองค์ประกอบสำคัญของขั้นตอนนี้
กระบวนการปรึกษาหารือสาธารณะมักเชี่ยวชาญในการดักจับความคิดเห็นที่แตกต่างหลากหลาย แต่มักไม่สามารถนำความคิดเห็นเหล่านั้นมาผ่านกระบวนการรับฟังซึ่งกันและกันและหาจุดร่วมเพื่อไปต่อให้ได้ กระบวนการนี้อาศัยความละเอียดอ่อนและมีคำถามมากมายที่นักนโยบายต้องตอบให้ได้ เช่น การเปิดรับฟังสาธารณะทำให้เกิดการรับฟังประชาชนจริงๆ ไหม? การรับฟังออนไลน์ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนแบบที่ต่างฝ่ายตั้งใจฟังกันไหม? จะทำอย่างไรให้เสียงที่แตกต่างไม่ได้เป็นเพียงเสียงที่คนตะโกนใส่กันไปมา แต่ไม่มีใครฟังซึ่งกันและกัน? การตั้งใจฟังกันและกันอย่างจริงจังและจริงใจเกิดขึ้นได้ที่ไหน และอย่างไร? สิ่งเหล่านี้เป็นข้อท้าทายที่นักนโยบายต้องออกแบบกระบวนการรับฟังให้ตอบสนองการรับฟังจริงๆ
ณ ที่นี้ เทคนิคที่สามารถนำไปปรับใช้ได้ก็เช่น การรับฟังและหาจุดร่วมกันมักทำได้อย่างมีประสิทธิภาพเมื่อเป็นกลุ่มคนที่มีจำนวนไม่มากเกินไป และกระบวนกรต้องตั้งใจฟังและพยายามประสานให้คนแต่ละคนได้พูดในมิติของตน และรับฟังมิติของผู้อื่น นี่ยังรวมไปถึงการที่องค์กรที่เป็นผู้รับผิดชอบประเด็นต้องละทิ้ง ‘public relations’ (ประชาสัมพันธ์องค์กร) ที่เน้นการที่ผู้มีอำนาจควบคุมสาระหลักในการสื่อสาร และเปลี่ยนมาเป็น ‘public participation’ หรือการมีส่วนร่วมที่ทุกคนมีอำนาจการสื่อสารในระนาบเท่ากัน
3. การคิดหาจุดร่วม (Convergent Thinking)
ในขั้นตอนที่สาม “หาจุดร่วม” คือขั้นตอนในการหาหลักการที่แต่ละฝ่ายเห็นตรงกัน เพื่อตัดสินใจและนำข้อสรุปที่ได้ไปสู่การปฏิบัติ เมื่อผู้คนมีความเข้าใจร่วมกันแล้ว ก็มักจะส่งผลให้สามารถก้าวผ่านมุมมองแล้ว “ฝ่ายเรา-ฝ่ายเขา” และเข้าใจว่าปัญหานั้นๆมีความซับซ้อนในตัวมันเอง และต้องจุดร่วมเพื่อเดินต่อไปข้างหน้าได้นั่นเอง
อ้างอิง:
- Sam Kaner’s Facilitator’s Guide to Participatory Decision-Making
- Martín Carcasson’s “Tackling Wicked Problems Through Deliberative Engagement”