สุริยนต์ ธัญกิจจานุกิจ ที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนงาน ประจำสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ชี้ว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาประเทศไทยถูกซ้ำเติมจากหลายปัญหา ทั้งจากโควิด-19 และวิกฤติทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง ทุกภาคส่วนต้องรวมกันพยุงทิศทางประเทศไทยให้ดีขึ้น ถึงเวลาแล้วที่ ภาคราชการ เอกชน และทุกภาคส่วน ต้องพัฒนาแบบก้าวกระโดดที่จะแข่งขันได้ในเวทีโลก โดยจากมุมมองทั้ง 4 ประเทศในงาน Policy Innovation Exchange 2 แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนกระบวนการนโยบายสาธารณะแบบก้าวกระโดด หลังหลายประเทศที่พัฒนาแล้ว นำหน้าประเทศไทยไปกว่า 10 ปี
7 แนวทางเปลี่ยนประเทศไทยสู่การเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว
ใน 5 ปี ข้างหน้าจะเป็นช่วงของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 13 ซึ่งมีเป้าหมายให้ประเทศไทยเปลี่ยนไปสู่การเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว คือ
– ปรับโครงสร้างการผลิตสู่เศรษฐกิจฐานนวัตกรรม คือแข่งกันด้วยนวัตกรรมวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี
– การสร้างโอกาสลดความเหลื่อมล้ำ ทางสังคม และพัฒนาสมรรถนะ
– การสร้างความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม เพื่อมุ่งสู่สังคมแห่งโอกาสและความเป็นธรรม ด้วยการส่งเสริมการดำเนินงาน ตามหลักเศษฐกิจหมุนเวียนและสังคมคาร์บอนต่ำ รวมถึงการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้อย่างชาญฉลาด และเพิ่มศักยภาพ ของชุมชนในการรับมือกับภัยธรรมชาติ
– ภาคเกษตรควรจะเป็น Smart Farming คือเกษตรกรสามารถประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่ล้ำหน้าได้ ไม่ว่าจะเป็นดิจิทัลเทคโนโลยี เช่น Internet of Things หรือ Decision Farming รวมถึงแนวคิดในการสร้างมูลค่าเพิ่มผ่านแนวคิดการใช้เทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีชีวภาพ หรือเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับการสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยเคมี หรือด้วยการออกแบบ
– ภาคอุตสาหกรรมควรพลิกโฉมอุตสาหกรรมด้วยนวัตกรรม เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ให้เป็นยานยนต์ไฟฟ้า (Electronic Vehicle) ซึ่งถือเป็นหมุดหมายสำคัญของกระบวนการพัฒนา นอกจากนี้ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมควร เปลี่ยนกระบวนการผลิตไปใช้ระบบอัตโนมัติหรือหุ่นยนต์มากขึ้น เพราะเป็นดิจิทัลเทคโนโลยีที่ถูกควบคุมโดยคนเพียงไม่กี่คน ซึ่งจะเพิ่มการผลิต (Productivity) ให้ทันกับความต้องการ
– ภาคบริการโดยเฉพาะการท่องเที่ยวซึ่งเป็นจุดเด่นของประเทศไทย ต้องยกระดับคุณภาพของบริการท่องเที่ยวให้เป็นคุณภาพระดับสูง และเป็นระดับมาตรฐานสากล ซึ่งเป็นบริการท่องเที่ยวที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม รับผิดชอบต่อความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม และเป็นบริการที่สร้างคุณค่าให้กับนักท่องเที่ยวโดยประยุกต์ใช้เศรษฐกิจสร้างสรรค์ หรือการพัฒนาผลิตภัณฑ์ หรือบริการท่องเที่ยวของผู้ประกอบการให้มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น
– ภาค SME มีถึง 80 % ของผู้ประกอบการทั้งหมด แต่มูลค่าเพิ่มที่สร้างจาก SME ยังไม่มากพอและยังน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้ว คือมีเพียง 30 % ทั้งควรจะมีมากถึง 40-50 % เพราะกระบวนการพัฒนาของ SME ไม่สามารถที่จะครอบคลุมทั่วถึง มาตรการนโยบายต่างๆ ของภาครัฐที่ออกไปเพื่อที่จะพัฒนาหรือส่งเสริม SME ยังไม่ถึงเป้าหมาย
ประเด็นท้าทายทางสังคม: ความเหลื่อมล้ำและสิ่งแวดล้อม
ความเหลื่อมล้ำในประเทศไทยครอบคลุมหลายมิติ เช่น ปัญหาประชากรไม่สามารถเข้าถึงบริการภาครัฐ ปัญหาสวัสดิการ หรือสวัสดิภาพของคนในสังคมที่ไม่ทั่วถึง รวมไปถึงด้านสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่อยู่ในแหล่งท่องเที่ยว หรือว่าที่ใช้กันอยู่ในภาคเศรษฐกิจต่างๆ ก็เป็นการใช้ที่ไม่คำนึงถึงความยั่งยืน ปัญหาของเสียที่เกิดจากกระบวนการผลิต ปัญหาของเสียที่เกิดจากการอยู่อาศัยในชุมชน น้ำ ขยะอะไรต่างๆเป็นการบริหารจัดการที่ยังเรียกว่ายังไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร
พัฒนาองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมเพื่อพัฒนาอย่างก้าวกระโดด
โดยช่วง 2-3 ปี ที่ผ่านมา ทรัพยากรด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรมได้ถูกนำผนวกเข้าสู่กระบวนการพัฒนาของประเทศ โดยเริ่มจากการปรับโครงสร้างของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และกระทรวงศึกษาธิการ ด้วยการปรับเปลี่ยนวิธีการจัดสรรงบวิจัยให้เพิ่มขึ้น 7.9 % ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา เพื่อให้เกิดการสร้างผลงานวิจัย สร้างองค์ความรู้และสร้างนวัตกรรมเชิงเทคโนโลยีต่างๆ เข้าไปสนับสนุนภาคธุรกิจ
ในปี 2020 มหาวิทยาลัยทั่วประเทศมีโครงการที่เรียกว่า University to Tambon (ตำบล) หรือ U2T โดยมหาวิทยาลัยทั่วประเทศระดมนักวิชาการที่อยู่ในมหาวิทยาลัย 76 จังหวัด ลงสู่พื้นที่ในระดับตำบล 3,000 กว่าตำบลในระยะเวลา 1 ปี เพื่อใช้ผลงานวิจัยเข้าไปช่วยสร้างนวัตกรรมให้กับผู้ประกอบการในระดับชุมชน
นอกจากนี้ประเทศไทยได้ลงทุนด้านวิทยาศาสตร์ผ่านโครงสร้างพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ เรามีเทคโนโลยีสมัยใหม่ EECI ซึ่งคือการพัฒนาชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกในเรื่องเทคโนโลยีและนวัตกรรม เราลงทุนในเรื่องโรงงานสร้างต้นแบบโรงกลั่นชีวภาพ (Biorefinery) และเครื่องกำเนิดแสงซินโครตอน (Synchrotron) ราคานับพันล้านบาท และอาจมีมูลค่านับหมื่นล้านบาทในอนาคต นอกจากนี้เรากำลังสร้างศูนย์นวัตกรรมต่างๆ ที่จะมาช่วยให้บริการในเชิงเทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญต่างๆให้กับผู้ประกอบการอีกด้วย
ปฏิรูปกระบวนการนโยบายสาธารณะผ่าน Thailand Policy Lab
กระบวนการกำหนดนโยบายของภาครัฐของประเทศไทยแบบเดิมคือ ส่วนใหญ่จะเป็นลักษณะบนลงล่าง (top-down) ไม่ได้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างครบถ้วน การกำหนดนโยบายต่างๆ ยังไม่ได้คำนึงถึงปัญหา หรือรับผลกระทบจากนโยบายในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ที่ไม่ว่าจะกำหนดนโยบายอย่างไร ประชาชนควรมีสิทธิ์ตัดสินใจเลือก
ประเทศไทยจึงจำเป็นที่จะต้องมีการปฏิรูปกระบวนการกำหนดนโยบายสาธารณะของประเทศผ่าน Thailand Policy Lab โดยจากบทเรียนของประเทศที่พัฒนาแล้วพบว่า มีการเปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกระดับเข้ามาสู่กระบวนการ ซึ่งทำให้ข้อมูลของการกำหนดโยบายไม่ได้มีเพียงแค่สถิติที่อยู่ในรายงาน แต่อยู่ที่ตัวบุคคล อยู่ที่ความรู้สึก อยู่ที่ปัญหา หรือทัศนคติของประชาชนที่เป็นผู้ได้รับผลกระทบด้วย
โดยประเทศไทยกำลังปฏิรูปนโยบายสาธารณะของประเทศผ่าน Thailand Policy lab ที่สร้างนวัตกรรมเชิงนโยบายให้กับประเทศไทย ด้วยการอบรมผ่านผู้ออกแบบนโยบายโดยตรง ให้เข้าถึงนักวิชาการ นักบริหาร ผ่านการเรียนรู้ในมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ และขยายองค์ความรู้ไปให้เร็วที่สุด