Kristina Reinsalu ผู้อำนวยการด้าน e-Democracy ประจำสถาบัน e-Governance ในเอสโตเนียเล่าว่า ชาวเอสโตเนียมีประสบการณ์การใช้แอปพลิเคชั่นโทรศัพท์มือถือในการเข้าถึงบริการของรัฐค่อนข้างมาก โดยเฉพาะการเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล โดยเอสโตเนียนับเป็นชาติแรกๆ ที่ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการภาครัฐผ่านระบบออนไลน์ได้มากถึงร้อยละ 99 จนถือได้ว่าเป็นหนึ่งในสังคมที่ “เจ๋ง” ที่สุดในโลก
ทำให้ทุกคนเข้าถึงอินเทอร์เน็ต
ระบบโครงสร้างพื้นฐาน ICT ของเอสโตเนียถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1990-2000 โดยรัฐบาลเอสโตเนียได้ฝึกประชาชนให้มีทักษะความเข้าใจทางดิจิทัลตั้งแต่เนิ่นๆ ผ่านโครงการ “เสือกระโดด” ซึ่งเป็นโครงการที่เชื่อมอินเทอร์เน็ตให้กับโรงเรียนทุกแห่งทั่วประเทศ จนกระทั่งในปี 1997 เอสโตเนียมีระบบอินเทอร์เน็ตที่ปลอดภัยที่นักเรียนทุกคนสามารถใช้ได้ฟรี นอกจากนี้พ่อแม่และครู ได้ถูกฝึกอบรมให้มีทักษะการใช้คอมพิวเตอร์ด้วยเช่นกันเพื่อทำให้ทุกคนคุ้นเคยกับการใช้อินเทอร์เน็ต และคอมพิวเตอร์
ความเข้าใจเทคโนโลยีดิจิทัล ทักษะการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล การสื่อสาร และความโปร่งใส
ความท้าทายของเอสโตเนียในฐานะประเทศที่แยกตัวออกจากสหภาพโซเวียต ทำให้เอสโตเนียต้องการให้พลเมืองเข้ามามีส่วนในการบริหารบ้านเมืองผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล ทั้งในการรับฟังข้อมูล ปรึกษาหารือ หรือออกแบบสังคม จนถึงเปลี่ยนแปลงนโยบาย โดยเอสโตเนียเชื่อว่าถ้าเราต้องการมีสังคมดิจิทัล เราจำเป็นต้องมีประชากรที่มีทักษะด้านดิจิทัลก่อนซึ่งต้องเริ่มที่รัฐบาลกที่ต้องมีทักษะการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างครบถ้วน
ตั้งแต่ปี 2001 เอสโตเนียริเริ่มปฎิวัติเว็บท่า (Portal Website หรือ เว็บไซต์เพื่อเข้าถึงข้อมูลและบริการภาครัฐ) ที่สร้างการมีส่วนร่วมทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นเว็บไซต์หลักเพื่อเข้าถึงบริการต่างๆ ของรัฐได้ทั้งหมด โดยมีหลักการสำคัญคือคือประชาชนต้องเป็นเจ้าของข้อมูล
- ระบบบริการสาธารณสุขอิเล็กทรอนิกส์: ประชาชนมีสิทธิในการให้ข้อมูลใดๆกับแพทย์ ด้วยความยินยอมว่าให้เข้าถึงได้มากแค่ไหน และจะต้องโปร่งใสว่าเกิดอะไรขึ้นกับข้อมูลของประชาชนบ้าง
- ระบบบริการยื่นภาษีอิเล็กทรอนิกส์: ถ้าประชาชนเริ่มยื่นภาษีออนไลน์ จะได้รับเงินคืนภาษีในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ แต่ถ้าประชาชนยื่นแบบกระดาษ อาจจะต้องรอหลายเดือน
- ระบบบริการกรมการขนส่งอิเล็กทรอนิกส์: ประชาชนสามารถใช้บริการทุกอย่างเกี่ยวกับรถยนต์ ใบขับขี่ ฯลฯ
- แอปพลิเคชันระบบติดตามข้อมูล: ระบบติดตามข้อมูลจะแสดงให้เห็นว่า ทำไม เมื่อไร และอย่างไรที่ข้อมูลของประชาชนถูกใช้โดยเจ้าหน้าที่รัฐ ถ้าประชาชนเห็นว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ประชาชนมีสิทธิส่งคำร้องอย่างเป็นทางการเพื่อขอคำอธิบายได้
- ระบบบริการเชิงรุกที่ไร้รอยต่อ: การจัดการบริการต่างๆที่เกี่ยวกับเด็กๆ จัดหาโรงเรียนให้กับพ่อแม่แบบเชิงรุกโดยเป็นโรงเรียนที่ตั้งอยู่ใกล้บ้านที่สุด
ระบบบริการอิเล็กทรอนิกส์นี้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และให้ความสำคัญอยู่เสมอกับเสียงสะท้อนจากผู้ใช้บริการ
Crowdsourcing เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน
ในปีค.ศ. 2013 ประเทศเอสโตเนียใช้หลักการ Crowdsourcing ในการระดมความคิดเห็นประชาชนว่า จะเปลี่ยนแปลงระบบบริการของภาครัฐให้ดีขึ้นได้อย่างไร ด้วยการใช้เทคโนโลยี Crowdsourcing ที่เปิดให้ประชาชนสามารถร่วมเสนอกฎหมายไปที่สภาเอสโตเนีย หรือเสนอเป็นกระทู้ เพื่อแสดงความคิดเห็นได้